หลักสูตรแกน


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การศึกษา การเรียน
หลักสูตรแกน โดยคำจริง ๆ ของมัน เป็นรูปแบบหลักสูตรบูรณาการประเภทหนึ่ง โบราณมากแล้ว แต่ไม่ใช่แปลว่ารูปแบบหลักสูตรนี้ไม่ดีนะคะ มันเป็นรูปแบบหลักสูตรบูรณาการที่เก่าแก่มาก ในยุคหลักสูตรฉบับ 2503 มีการทำหลักสูตรแบบที่เรียกว่า broad fields curr. ที่เรียกว่า วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา นี่แหละ คือ ตย.หลักสูตรแบบ broad fields คือการนำเอาแขนง สาขา มารวมกันเป็นหลักสูตร เอา ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม ฯลฯ มารวมเรียกเป็นสังคมศึกษา เอาเคมี ชีว ฟิสิกส์ มารวมเรียกเป็นวิทยาศาสตร์ นี่เป็นความพยายามของการจะทำหลักสูตรบูรณาการในยุคแรก ๆ แต่มันไม่บูรณาการจริง แค่เอา สาขา แขนงของศาสตร์ที่ร่วมกัน เอามารวมอยู่ด้วยกัน แต่การเรียนการสอนก็ยังแยกกันไป ซึ่งหลักสูตรแบบนี้ พัฒนาขึ้นมาหลังจากหลักสูตรแบบ subject matter cur ที่เคยเฟื่องฟูในอดีตเริ่มเห็นว่าเป็นหลักสูตรไม่ดี อันสืบเนื่องจากที่อเมริกาไปแพ้รัสเซียที่ไปดวงจันทร์ได้ก่อน กรณียานอวกาศ Sputnik นั่นน่ะ ทำให้อเมริกาเห็นว่าหลักสูตรแบบแยกวิชาไม่ดี มาบูรณาการการดีกว่า ยุคแรกของหลักสูตรบูรณาการจึงมาเป็น broad fields แค่เอามารวมกันเฉย ๆ เหมือนกินเบนโตะ เป็นสำรับ ยังแยกกินเป็นชิ้น ๆ
หลักสูตรแกนเป็นพัฒนาการของหลักสูตรบูรณาการที่ถัดมา มีการบูรณาการศาสตร์มากขึ้นถามว่าเมืองไทยมีหลักสูตรแกนอย่างแท้จริงไหม ตอบได้ว่าไม่มี ไม่เคยมี แต่ที่ทำกันเป็นระดับหน่วยการเรียนเป็นบูรณาการแบบแกนเสียมากกว่า หลักสูตรแบบแกน ที่ทำกันสมัยก่อนมาก คือ ทำในระดับรายวิชา และหน่วยการเรียน เช่น รายวิชาจังหวัดของเรา ฮิตกันมาก เวลาเรียนก็มีการเอาทั้งหลายแขนงของสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา อะไรเหล่านี้ มาเรียนในความเป็นจังหวัดของเรา แต่เป็นระดับหลักสูตร ไม่เคยมี หลักสูตรแกน ต้องมี theme เป็นแกน แล้วนำ กลุ่มสาระต่าง ๆ มาสอนร่วมกันในความเป็น theme นั้น จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้จะหา รร.ที่ทำหลักสูตร บูรณาการแบบแกน ก็น้อยมาก ไปเห็นระดับรายวิชา และ หน่วยการเรียนมากกว่า ถามว่าทำในระดับหลักสูตรได้ไหม ตอบว่าได้ แต่อย่าให้บอกว่าทำยังไงใน webboard นี้เลยนะคะ มันจะยาวววว
คำว่าหลักสูตรแกนกลาง เป็นความหมายของการกำหนดหลักสูตรที่เป็น mandate curr. หลักสูตรที่บังคับใช้เหมือนกันทั่วประเทศ หลักสูตรไทยที่ผ่านมาเป็นหลักสูตรแกนกลางทั้งสิ้น มาจนถึงหลักสูตรฉบับ 2533 มายกเลิก ด้วย พรบ.การศึกษา ในหลักสูตร 2544 และ 2551 ที่ใช้มาตรฐานมาจัดการศึกษา มันจึงไม่ใช่หลักสูตรแกนกลางอีกต่อไป
เวลาที่เราเรียกหลักสูตร มันต้องมีโครงสร้างหลักสูตร ต้องมีรายวิชากำหนดชัดเจน ชื่อวิชา คำอธิบายรายวิชา จำนวนเวลาเรียน แบบนี้จึงจะเรียกว่า หลักสูตร ณ ขณะนี้ หลักสูตรเป็นเรื่องของ แต่ละ รร. เราจึงไม่มีหลักสูตรแกนกลางของประเทศในความหมายนี้อีกต่อไปแล้ว หลักสูตรแกนกลางคำนี้ยังใช้เรียกในสมัยหลักสูตร 2533 ซึ่งเรียกถูก เพราะ กรมวิชาการกำหนดโครงสร้างหลักสูตร ชื่อรายวิชา คำอธิบายรายวิชา จำนวนเวลาเรียน ที่ทุก รร.ทั่วประเทศ จะเรียนแบบเดียวกันหมด แต่ปัจจุบันไม่ใช่
ปัญหาความเข้าใจผิดจึงเกิดขึ้น เพราะไปเอาคำเก่ามาใช้ในบริบทใหม่ ปัจจุบัน เราใช้มาตรฐานจัดหลักสูตร จัดการเรียนการสอน ประเมินผล คำว่าหลักสูตรแกนกลางที่ สพฐ.ใช้อยู่ทุกวันนี้ มันเพียงหมายถึงการกำหนดตัวชี้วัดของแต่ละชั้นปี และบอกว่าขอให้ทุกโรงเรียนเอาพวกนี้ไปสอน การเอาไปสอนแปลว่า โรงเรียนจะเอาไปทำหลักสูตร รายวิชา หน้าตายังไงก็ได้ ยังเป็นเรื่องของแต่ละ รร.ไป เหมือนให้เนื้อหมู ผักคะน้า น้ำมันพืช ข้าวสาร มาบอก นี่บังคับนะเด็กทุกคนต้องกิน 4 อย่างนี้นะ นี่คือหลักสูตรแกนกลางในความหมายนี้ แต่จริง ๆ มันไม่ใช่หลักสูตร แต่ละ รร. จะเอาของ 4 อย่างนี้ ไปปรุงเป็นอาหารอะไรก็แล้วแต่ เด็กได้กิน ของ 4 อย่างนี้เหมือนกันแหละ เป็นรายการอาหารต่าง ๆ รร.ไหน ไม่กินเนื้อหมูเลย ไม่กินผักคะน้า แบบนี้ถือว่าผิด แต่ไม่ใช่อยู่ ๆ เอาเนื้อหมูดิบ ๆ ผักคะน้าดิบ ๆ น้ำมันพืชเทจากขวด ใส่เข้าปากเด็กไปทื่อ ๆ เหมือนทุกวันนี้ที่พอ สพฐ.ใช้คำว่าหลักสูตรแกนกลาง ก็เลยเอาตัวชี้วัดแต่ละข้อมาสอนเด็กทื่อ ๆ ดุ่ย ๆ ไป ก็เหมือนให้เด็กกินอะไรดิบ ๆ ไป มันมีรสชาติมีความหมายไหมละ อยู่ ๆ กินคะน้าดิบ ๆ แทนที่จะกินคะน้าผัดน้ำมันหอย
สรุป หลักสูตรแกนกลาง คือบังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนเรื่องเหล่านี้ แต่ รร.ต้องไปปรุงแต่งเป็นหลักสูตร ปรุงแต่งเป็นรายวิชา คำอธิบายรายวิชา ที่มีรสชาติใหม่ เอง ไม่ใช่เอาตัวชี้วัดไปสอนทื่อ ๆ ตัวชี้วัดที่กำหนดในแต่ละปี มันไม่ใช่หลักสูตร สากลเขาจะเรียกว่า มาตรฐานหลักสูตร ดังนั้น การใช้คำว่าหลักสูตรแกนกลาง ต้องรู้เท่าทันว่า มันไม่ใช่หลักสูตรตามชื่อ ตัวชี้วัดในแต่ละชั้นปี มันไม่ใช่รายวิชา เราทำหลักสูตรแกน แล้วเอาตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่เรียกมันว่าหลักสูตรแกนกลางนี่แหละ ไปเป็นหลักสูตรแกน แบบนี้สิใครทำได้แบบนี้ สุดยอด ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็คว้าเอาตัวชี้วัดข้อต่าง ๆ ไปสอนทื่อ ๆ ช่วยทำความเข้าใจกันใหม่ด้วย อย่าเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก กันนักเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น