การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Curriculum Planning)
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Curriculum Planning)
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผนหลักสูตรเป็นการตอบคำถามข้อที่หนึ่งของไทเลอร์ คือ มีจุดมุ่งหมายอะไรบ้างในการศึกษาที่โรงเรียนต้องแสวงหา โดยข้อมูลนั้นจะได้จากแหล่งข้อมูล (Source)
ซึ่งเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้น ความรู้ ผู้เรียน และสังคม
จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรอง (Screens)
โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือ พื้นฐานทางด้านปรัชญา (Philosophy)
พื้นฐานทางจิตวิทยา (Psychology) และพื้นฐานทางสังคม (Society)
การวางแผนหลักสูตร (Curriculum Planning) ตามแนวคิดของไทเลอร์ เป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ที่สำคัญคือต้องชัดเจน เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนของการวางแผน
ไทเลอร์ได้ให้คำแนะนำในการวางแผนหลักสูตรไว้ 3 ประเด็น ได้แก่
1. การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้
2. การจัดระบบโครงสร้างประสบการณ์การเรียนรู้
3. การประเมินผลการเรียนรู้
ประสบการณ์เรียนรู้นี้ ในคำนิยามของไทเลอร์
มาจากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวผู้เรียนกับสิ่งแวดล้อมภายนอก
โดยผู้สอนมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะในการคิด พัฒนาเจตคติเชิงสังคม
พัฒนาความสนใจและให้ได้สารสนเทศที่ต้องการ นอกจากนี้
การพัฒนาให้มีการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต ยังคงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
สี่เสาหลักการศึกษา
สี่เสาหลักการศึกษา หมายถึง หลักสำคัญ 4 ประการของการศึกษาตลอดชีวิต (ราชบัณฑิตยสถาน. 2542) โดยคณะกรรมาธิการนานาชาติว่าด้วยการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (2541) ได้กล่าวถึง สี่เสาหลักการศึกษา
ซึ่งเป็นหลักการในการจัดการด้านการเรียนรู้ ประกอบด้วย 4 แบบ ได้แก่ การเรียนเพื่อรู้ (Learning to Know) การเรียนรู้เพื่อปฏิบัติได้จริง (Learning to Do) การเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่ร่วมกัน (Learning to Live
Together) และการเรียนรู้เพื่อชีวิต (Learning to
Be)
สี่เสาหลักการศึกษาซึ่งเป็นหลักการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง โดยสรุปแล้ว
มีเป้าหมายคือ 1) ให้ผู้เรียนมีวิธีการคิดระดับสูง 2) มีวิธีการเรียนรู้ 3) มีทักษะการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และทักษะทางสังคม
และ 4) มีคุณลักษณะสมรรถนะที่พึงประสงค์
การก้าวเข้าสู่การเรียนรู้ในยุคศตวรรษที่ 21
วิจารณ์ พานิช (2555) กล่าวว่า ศตวรรษที่ 21 สถานการณ์โลกมีความแตกต่างจากศตวรรษที่ 20 และ 19 ระบบการศึกษา
ต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะความเป็นจริง
ในประเทศสหรัฐอเมริกาแนวคิดเรื่อง "ทักษะแห่งอนาคตใหม่
: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21"ได้ถูกพัฒนาขึ้น
หน่วยงานต่างๆ มีความกังวลและเห็นความจำเป็นที่เยาวชนจะต้องมีทักษะสำหรับการดำรงชีวิตในโลกแห่งศตวรรษที่21 ที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่ 20 และ 19 โดยครูต้องเปลี่ยนเป้าหมายการเรียนรู้ของศิษย์
จากเน้นเรียนวิชาเพื่อได้ความรู้ ให้เลยไปสู่การพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อชีวิตยุคใหม่
โดยการเรียนรู้ยุคใหม่ ต้องเรียนให้เกิดทักษะ
เพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 โดยหน้าที่ของครูได้เปลี่ยนไป
จากการเน้น "สอน" ไปทำหน้าที่จุดประกายความสนใจใฝ่รู้
โดยให้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ (learning by doing) จึงได้พัฒนาวิสัยทัศน์และกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ขึ้น สามารถสรุปทักษะสำคัญ ที่เด็กและเยาวชนควรมี ซึ่งได้แก่ การเรียนรู้ 3R
x 7C
สุเทพ อ่วมเจริญ (2557 : 32-33) กล่าวว่า
การเรียนรู้ด้านต่าง ๆ นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งได้แก่ 3R x 7C ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาคนให้ปฏิบัติงานอย่างผู้มีความรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
การเรียนรู้ด้านต่าง ๆ นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทักษะที่เน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต ซึ่งได้แก่ 3R x 7C ล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เพื่อพัฒนาคนให้ปฏิบัติงานอย่างผู้มีความรู้และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แต่เดิมการสอนยึดหลักพื้นฐาน 3Rs คือ
เน้นให้ผู้เรียนอ่านออก (Reading) เขียนได้ (W)Riting และ คิดเลขเป็น (A)Rithmetics ต่อมานักการศึกษานำเสนอแนวคิดใหม่ 3's
R : ความเคร่งครัด ความถูกต้องแม่นยำ (Rigor), ความสัมพันธ์ (Relevancy), สัมพันธภาพ (Relationship)
การจัดการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนให้มีทักษะในศตวรรษที่ 21
ต้องเน้น 3R x 7C โดยสถาบันการศึกษาใช้เป็นแนวทางสู่ทักษะในศตวรรษที่ 21 สามารถจัดกลุ่ม 3R ให้เข้ากับ 7C ดังนี้
· ความเคร่งครัด
ความถูกต้องแม่นยำ (Rigor) ได้แก่
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม (learning and innovation skills)
· ความสัมพันธ์ (Relevancy) ได้แก่ ทักษะชีวิตและอาชีพ (life and career skills)
· สัมพันธภาพ(Relationship) ได้แก่ ทักษะเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อ (information,
media and technology skills)
ต่อมา 7Cs เป็นหลักเพิ่มเติม ซึ่งได้แก่
- ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking & problem solving)
- ทักษะด้านการสร้างสรรค์
และนวัตกรรม (Creativity & innovation)
- ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรม
ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding)
- ทักษะด้านความร่วมมือ
การทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork &
leadership)
- ทักษะด้านการสื่อสาร
สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications, information & media
literacy)
- ทักษะด้านคอมพิวเตอร์
และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing & ICT literacy)
- ทักษะอาชีพ
และทักษะการเรียนรู้ (Career & learning skills)
ในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา
โดยพิจารณาด้านการจัดการเรียนการสอน วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554 : 39) กล่าวว่า เราได้ก้าวเข้าสู่โลกไร้พรมแดน หรือ โลกาภิวัฒน์
ซึ่งเป็นยุคแห่งข่าวสาร ข้อมูล ดังนั้น การจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
จึงมีการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบลักษณะส่วนบุคคล หรือ PSI
(Personalized System of Instruction) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่ใช้วัสดุประเภท soft
technology ที่เกี่ยวกับเนื้อหา สาระ วัสดุ วิธีการจัดระบบ
โดยนำมาผสมผสานกับ hard technology เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ในระบบมัลติมีเดีย (multimedia) เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง
แต่ละคนนั้นเรียนรู้ในระดับความเร็วต่างกัน ซึ่งการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
ทำให้ทุกคนได้เรียนรู้เท่ากัน
เอกชัย พุทธสอน (2557) กล่าวว่า
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศ ความรู้
และนวัตกรรม ที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมากมายเพื่อประโยชน์ทางด้านการศึกษา แต่กระนั้น
เกิดปัญหาคือ มนุษย์ไม่สามารถจัดการกับข้อมูลเหล่านั้น และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่าง
ๆ เหล่านั้น ได้อย่างเต็มที่
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้เพื่อรู้จักที่จะนำเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างมากมายนี้ไปใช้ประโยชน์ในศตวรรษที่ 21
ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 นั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ได้พัฒนาอย่างล้มหลามไปใช้
ให้บุคคลต่าง ๆ สามารถปรับตัว และเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเพื่อสามารถพัฒนาตนเอง
ให้มีศักยภาพเท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นในงานวิจัยฉบับนี้ได้แก่ 1.ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม
2. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี 3.ทักษะชีวิตและการทำงาน ซึ่งทักษะต่าง ๆ
เหล่านี้ ล้วนแต่มีอิทธิพลและความสำคัญในการดำเนินชีวิตในศตวรรษที่ 21
การศึกษาถือว่าเป็นรากฐานของความ สำเร็จของคนทุกวัย
หลายประเทศเริ่มที่จะตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา
ดังนั้นจึงคิดที่จะให้มีการปฏิรูปการศึกษา รวมถึงประเทศไทยที่ได้ทำการปฏิรูปการศึกษาไปแล้วเมื่อช่วงปี
พ.ศ.
2542-2551
แต่ผลปรากฏว่าภารกิจด้านการขยายโอกาสและส่งเสริมทางด้านการศึกษายังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
การเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้สำหรับนักศึกษาผู้ใหญ่
มีความสำคัญอย่างยิ่ง
โดยสาระสำคัญคือมุ่งเน้นด้านการส่งเสริมให้นักศึกษาผู้ใหญ่ได้รับการศึกษาตลอดชีวิต
โดยแสวงหาความรู้ และสามารถใช้ความรู้นั้นในการดำรงชีวิต
และการศึกษาเพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดสังคมฐานความรู้
และให้พวกเขาเหล่านั้นมีอาชีพที่ยั่งยืนสามารถเลี้ยงตนเอง และ ครอบครัวได้
ให้พวกเขาเหล่านั้น เป็นคนคุณภาพของสังคม และประเทศชาติ
แนวทางการเสริมสร้างทักษะโดยร่างแนวโน้มการเสริมทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนัก ศึกษาผู้ใหญ่ โดยเน้นทั้งหมด 4 ด้าน
ได้แก่ 1) ด้านหลักการและนโยบาย 2) ด้านคุณลักษณะทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 3) ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ 4) ด้านการสนับสนุนและส่งเสริม
การวิเคราะห์แนวโน้มการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ทั้ง 4 ด้าน ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น โดยสรุปดังต่อไปนี้
1. ด้านหลักการและนโยบาย พบว่า
การเรียนรู้อยู่บนพื้นฐานของหลักการศึกษาผู้ใหญ่ จิตวิทยาผู้ใหญ่
และสอดคล้องกับบริบทของการดำรงชีวิต
2. ด้านคุณลักษณะทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 1) ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม 2) ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยี 3) ทักษะชีวิตและการทำงาน
3. ด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย
3.1 จุดมุ่งหมายของกระบวนการจัดการเรียนรู้
ได้แก่การสร้างองค์ความรู้
3.2 รูปแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ การเรียนรู้ด้วยตนเอง
การทำงานเป็นทีม
3.3 ทรัพยากรการเรียนรู้ ได้แก่ สื่อและเทคโนโลยีต่าง ๆ
3.4 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่
กิจกรรมการเรียนรู้จากสถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ
3.5 การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ หมายถึง
มีความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนรู้ติด
ตามการประเมินผล
4. ด้านการสนับสนุนและส่งเสริม
โดยมีการจัดตั้งภาคีเครือข่ายจากหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เพื่อร่วมมือกัน
ในการมีส่วนร่วมจัดการเรียนรู้ โดยเป็นผู้อำนวยความสะดวกด้านนโยบาย ทรัพยากร
งบประมาณ เป็นต้น
ในขั้นการวางแผนหลักสูตร
ซึ่งเกี่ยวกับการระบุเป้าหมายของหลักสูตรที่มุ่งเน้น ความรู้ ผู้เรียน และสังคม
จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรอง (Screens)
โดยมีพื้นฐานที่สำคัญคือ พื้นฐานทางด้านปรัชญา (Philosophy)
พื้นฐานทางจิตวิทยา (Psychology) และพื้นฐานทางสังคม (Society)
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญา
ปรัชญากับการศึกษามีความสัมพันธ์กันคือ
ปรัชญามุ่งศึกษาของชีวิตและจักรวาลเพื่อหาความจริงอันเป็นที่สุด
ส่วนการศึกษามุ่งศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์และวิธีการที่พัฒนามนุษย์ให้มีความเจริญงอกงาม
สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสุขประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพทั้งปรัชญาและการศึกษามีจุดสนใจร่วมกันอยู่อย่างหนึ่งคือ
การจัดการศึกษาต้องอาศัยปรัชญาในการกำหนดจุดมุ่งหมายและหาคำตอบทางการศึกษา
ปรัชญาการศึกษาคือ
แนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ ในการกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษา
ซึ่งนักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
นอกจากนี้ปรัชญาการศึกษายังพยายามทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษา
ทำให้สามารถมองเห็นปัญหาของการศึกษาได้อย่างชัดเจน
ปรัชญาการศึกษาจึงเปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนิน
การทางศึกษาอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และสมเหตุสมผล
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554 )สรุปสาระสำคัญของปรัชญาการศึกษาไว้ ดังนี้
สารัตถนิยม (Essentialism) การศึกษาเป็นเครื่องมือถ่ายทอดวัฒนธรรม
และอุดมการณ์ทางสังคม การจัดการเรียนการสอนเน้นการถ่ายทอดเนื้อหาสาระต่าง ๆ
ให้กับผู้เรียน
นิรันตรนิยม / สัจจนิยม (Perennialism) มนุษย์มีความสามารถในการใช้เหตุผล
การควบคุมตนเอง การจัดการเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนจดจำ การใช้เหตุผล
และตั้งใจทำสิ่งต่างๆ
อัตถิภาวนิยม / สวภาพนิยม (Existentialism) มนุษย์แต่ละคนเป็นผู้กำหนดหรือแสวงหาสิ่งสำคัญ
และตัดสินใจด้วยตนเอง
การจัดการศึกษาจึงให้เสรีภาพในการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง
ปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) การปฏิรูปสังคมเป็นหน้าที่ของสมาชิกในสังคม
การจัดการเรียนการสอน เน้นให้ผู้เรียนเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม
เพื่อการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
พิพัฒนนิยม (Progressivism) การดำรงชีวิตที่ดี
อยู่บนพื้นฐานของการคิดและการกระทำ การจัดการเรียนการสอน เน้นให้ผู้เรียนคิด
ลงมือกระทำ และแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง
โลกแห่งการศึกษาประกอบด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่
K = ด้านความรู้ (Knowledge)
L = ด้านผู้เรียน (Learner)
S = ด้านสังคม (Society)
ด้านความรู้ (K)
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) มีความเชื่อว่า
การศึกษาควรมุ่งพัฒนาความสามารถที่มนุษย์มีอยู่แล้ว เช่น
ความสามารถในการจำ ความสามารถในการคิดความสามารถที่จะรู้สึก ฯลฯ
การศึกษาควรมุ่งที่จะถ่ายทอดความรู้ที่สั่งสมกันมา ความเชื่อความศรัทธาต่างๆ
ที่ยึดถือกันเป็นอมตะ อบรมมนุษย์ให้มีความคิดเห็น
และความเป็นอยู่สมถะของการเป็นมนุษย์ หลักสูตรจะยึดเนื้อหาวิชาเป็นสำคัญ เนื้อหาที่เป็นวิชาพื้นฐาน ได้แก่ ภาษา
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และเนื้อหาที่เกี่ยวกับศิลปะ ค่านิยม
และวัฒนธรรม
ปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม (Perenialism) มีความเชื่อว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของธรรมชาติมนุษย์คือ
ความสามารถในการใช้เหตุผล
ซึ่งความสามารถในการใช้เหตุผลนี้จะควบคุมอำนาจฝ่ายต่ำของมนุษย์ได้
เพื่อให้มนุษย์บรรลุจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ปรารถนา ดังที่ โรเบิร์ต เอ็มฮัทชินส์
กล่าวว่า การปรับปรุงมนุษย์ หมายถึงการพัฒนาพลังงานเหตุผล
ศีลธรรมและจิตใจอย่างเต็มที่ มนุษย์ทุกคนล้วนมีพลังเหล่านี้
และมนุษย์ควรพัฒนาพลังที่มีอยู่ให้ดีที่สุด การศึกษาในแนวปรัชญาการศึกษานิรันตรนิยม คือ การจัดประสบการณ์ให้ได้มาซึ่งความรู้
ความคิดที่เป็นสัจธรรม มีคุณธรรม และมีเหตุผล หลักสูตรที่เน้นวิชาทางศิลปศาสตร์ (Liberal
arts) ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มคือ
กลุ่มศิลปะทางภาษา (Liberacy arts)ประกอบด้วยไวยากรณ์
วาทศิลป์และตรรกศาสตร์ ซึ่งเป็นเรื่องของการอ่าน การฟัง การพูด การเขียน
และการใช้เหตุผล อีกกลุ่มหนึ่งคือ ศิลปะการคำนวณ (Mathematical
arts) ประกอบด้วยเลขคณิต วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ดาราศาสตร์
และดนตรี นอกจากนี้ยังให้ผู้เรียนรู้ผลงาน
อันมีค่าของผู้มีอัจฉริยะในอดีตเพื่อคงความรู้เอาไว้ เช่น ผลงานอมตะทางด้านศิลปะ
วรรณกรรม ดนตรีรวมทั้งผลงานทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งในปัจจุบันได้แก่หลักสูตรของวิชา พื้นฐานทั่วไป (General education) ในระดับอุดมศึกษา
· ด้านผู้เรียน (L)
ปรัชญาการศึกษาอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) มีแนวคิดว่า
การศึกษาคือชีวิต มิใช่เป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต หมายความว่า
การที่จะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จะต้องอาศัยการเข้าใจความหมายของ ประสบการณ์นิยม
ฉะนั้นผู้เรียนจึงควรจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เหมาะแก่วัยของเขาและสิ่งที่จัดให้ผู้เรียนเรียนควรจะเป็นไปในทางที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจปัญหาชีวิตและสังคมในปัจจุบัน
และหาทางปรับ ตัวให้เข้ากับภาวะที่เป็นจริงในปัจจุบัน ปรัชญานี้ต้องการให้ผู้เรียนเรียนจากประสบการณ์ในชีวิตจริง
เป็นประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับสังคม หลักสูตรจึงครอบคลุมชีวิตประจำวันทุกรูปแบบที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
ให้ผู้ เรียนได้เข้าร่วมในประสบการณ์การเรียนรู้ทุกรูปแบบ
หลักสูตรจะเน้นวิชาที่เสริมสร้างประสบการณ์ทางสังคม ตลอดจนชีวิตประจำวัน เนื้อหา
ได้แก่ สังคมศึกษา วิชาทางภาษา วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ แต่ความสำคัญของการศึกษา
พิจารณาในแง่ของวิธีการที่นำมาใช้ คือ กระบวนการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
เพื่อให้ผู้เรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาในบทเรียน
และนำเอากระบวนการแก้ปัญหาไปใช้ในชีวิต ประจำวัน
ด้านสังคม (S)
ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (Reconstructionism) มีแนวความคิดว่า ผู้เรียนมิได้เรียนเพื่อมุ่งพัฒนาตนเองเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องเรียนเพื่อนำความรู้ไปพัฒนาสังคมให้สังคมเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เพราะว่าสังคมขณะนั้นมีปัญหาต่างๆ มากมาย ทั้งปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
และการเมือง การศึกษาจึงมีบทบาทในการเป็นเครื่องมือสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่ดีงามขึ้นมาใหม่
เป็นสังคมในอุดมคติ ที่มีความเพียบพร้อม และจะต้องทำอย่างรีบด่วน
เลือกหรือคัดสรรเนื้อหาวิชาที่นำมาบรรจุไว้ในหลักสูตร
จะเกี่ยวกับปัญหาและสภาพของสังคมเป็นส่วนใหญ่จะเน้นวิชาสังคมศึกษาเช่น
กระบวนการทางสังคมการดำรงชีวิตในสังคม สภาพเศรษฐกิจและการเมือง
วิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ศิลปะในชีวิตประจำวัน
สิ่งเหล่านี้จะทำให้มีความเข้าใจในกลไกของสังคม
และสามารถหาแนวทางในการสร้างสังคมขึ้นมาใหม่
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรนั้น นักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องพยายามจัดหลักสูตรให้สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนอย่างแท้จริง ด้วยการศึกษาข้อมูล พื้นฐานเกี่ยวกับตัวผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิทยาทั้งสิ้น ดังนั้นข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะละเลยมิได้ในการนำมาวางรากฐานหลักสูตร เช่น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร การกำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนการรู้ เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสมที่สุด จิตวิทยาการเรียนรู้จะบอกถึงธรรมชาติของการเรียนรู้ การเกิดการเรียนรู้และปัจจัยทางจิตวิทยาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้มี 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน ได้แก่ 1) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Behaviorism 2) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Cognitivism 3) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Humanism และ
4) ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Constructivism
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านสังคม
หลักสูตรเป็นเครื่องมือในการพัฒนาผู้เรียน
ให้ได้เรียนรู้สภาพสังคมปัจจุบันและอนาคต
เพื่อประโยชน์ต่อตัวผู้เรียนเองและต่อสังคม นอกจากนี้
การวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสภาพของสังคม ยังเป็นข้อมูลพื้นฐานทางด้านสังคมที่สำคัญ
เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตร โดยแนวคิดของพัฒนาการทางสังคม มี 4 ยุค ได้แก่ ยุคเกษตรกรรม ยุตอุตสาหกรรม
ยุคสังคมข่าวสารข้อมูลหรือยุคข้อมูลฐานความรู้ และยุคปัญญาประดิษฐ์ ยุคต่าง ๆ
เหล่านี้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน นอกจากนี้
การเก็บรวบรวมข้อมูลด้านสังคม อาทิ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียน ชุมชนและสังคม
เป็นการสร้างเครือข่ายหรือความร่วมมือของชุมชน
หรือแม้แต่การรวบรวมข้อมูลได้จากเอกสารรายงานต่าง ๆ การสำรวจ สอบถาม
หรือการสัมภาษณ์ ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้
จะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรต่อไป
โดยในแต่ละด้านของพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตร หลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจเพื่อประชาคมอาเซียน
ได้ยึดหลักปรัชญา เพื่อใช้ในการจัดการศึกษาต่างๆ ได้ดังนี้
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญา
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม หรือพิพัฒนนิยม หรือวิวัฒนาการนิยม (Progressivism) เป็นปรัชญา
ท มีความเชื่อว่าการดำรงชีวิตที่ดี
ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการคิดที่ดีและการกระทำที่เหมาะสมเน้นการเรียนรู้
ที่ ลงมือปฏิบัติจริง นักปรัชญาคนสำคัญคือ
จอห์น ดิวอี้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญกระบวนการเรียนรู้ใช้วิธี
การทางวิทยาศาสตร์ ใช้หลักสูตรประสบการณ์
พิพัฒนาการนิยมมาแพร่หลายเมื่อ จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ทำการศึกษาค้นคว้า
ดิวอื้ ใช้การ ศึกษาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวผู้เรียน
แทนการพัฒนาสติปัญญา โดยเน้นว่าผู้เรียนควรเข้าใจและตระหนักในตนเอง (Self-realization) ลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดวิธีการในการพัฒนาหลักสูตรและการสอนแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง
ดิวอี้เชื่อว่าการเรียนรู้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ลงมือปฏิบัติ หลักการนี้ทำให้เกิดวิธีการเรียนแบบแก้ปัญหา (Problem
Solving) หรือ เรียนด้วยการปฏิบัติ (Learning by
Doing)
ปรัชญาด้านนี้ยึดหลักการที่ว่า การพัฒนาคือการเปลี่ยนแปลง
คนเราจะหยุดพัฒนาไม่ได้
ดังนั้นการเรียนรู้ของคนเราจึงมิได้หยุดอยู่แต่ในโรงเรียนเท่านั้น
แต่จะดำเนินไปตลอดชีวิตของผู้เรียน ทำให้เกิดความเชื่อว่า การศึกษาคือชีวิต (Education is Life)
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านจิตวิทยา
ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ม Constructivism หรือ
ทฤษฎีที่ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ของตนด้วยตนเอง เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติทางความรู้ของมนุษย์
มีความหมายทั้งในเชิงจิตวิทยาและสังคมวิทยา โดยเน้นจิตวิทยาทางปัญญาเป็นสำคัญ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง คือ ทฤษฎีความรู้ (ญาณวิทยา) ที่ให้เหตุผลว่า
มนุษย์สร้างความรู้และความเข้าใจจากการผสมผสานระหว่างประสบการณ์และความคิดของเขา
ตั้งแต่วัยเด็ก มนุษย์ได้นำเอาประสบการณ์ผนวกเข้ากับปฏิกิริยาตอบสนองหรือพฤติกรรม
ซึ่งรูปแบบนี้ เพียเจต์เรียกว่าระบบของโครงสร้างทางความรู้ เมื่อหลายศตวรรษที่ผ่านมา
แนวคิดด้านการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองนั้น
ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายเนื่องจากการเล่นของเด็กถูกมองว่า ไร้เป้าหมาย
และไม่ค่อยมีความสำคัญ ฌอง เพียเจต์ ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่แสนจะโบราณนี้
เขากลับมองว่า การเล่นของเด็ก สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาการรับรู้ของเด็ก
และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนความคิดของเขา ดังนั้น Piaget เริ่มใช้คำว่า "Constructivism" ในหนังสือของเขา ซึ่งเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลอย่างมากเกี่ยวกับการศึกษาตามแนวคิดของการเรียนรู้ตามทฤษฎี "Constructivism" (Wikipedia.org)
ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองนั้น มีผู้ให้คำนิยามไว้มากมาย
ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้เรียนกับการเรียนรู้ ความหมายของ constructivism คือ ผู้เรียนสร้างความรู้ที่เป็นประโยชน์ในสถานการณ์ใหม่
พวกเขาเหล่านั้นต้องพยายามที่จะทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ได้รับ จัดการ ค้นหา
และสร้างความรู้เพื่อให้เข้าไปสู่ระบบความคิดของเขา โดยการเรียนรู้ใหม่นั้นช่วยผู้เรียนให้ทำความสนใจและจุดประสงค์ของตนเองให้ลุล่วง
โดยใช้และพัฒนาความรู้ความสามารถของตนเอง
จากการสร้างความรู้และประสบการณ์ที่มีมาก่อน และพัฒนาต่อยอดให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต หรืออีกนัยหนึ่ง
อาจกล่าวได้ว่าคนเรานั้นสร้างความเข้าใจและความรู้ของตนเองผ่านการประสบพบเจอสิ่งต่าง
ๆ และสะท้อนกลับถึงประสบการณ์เหล่านั้น ในการทำความเข้าใจกับข้อมูล
ผู้เรียนต้องเชื่อมโยงระหว่างความรู้เก่ากับข้อมูลใหม่ พวกเขาต้องเปรียบเทียบและตั้งคำถาม
ตรวจสอบ ยอมรับ ไม่สนใจ หรือ ทิ้งข้อมูลเก่าและความเชื่อเก่า ๆ
เพื่อให้ได้สิ่งใหม่ๆ ทั้งนี้การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม กระบวนการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ จะเกิดขึ้นได้ดีที่สุดในสภาพสังคมที่เด็กนักเรียนมีโอกาสที่จะเปรียบเทียบและแบ่งปันความคิดเห็นกับผู้อื่น
การเรียนรู้จะเกิดขึ้นในขณะที่นักเรียนร่วมมือกัน
มีผู้นิยามการเรียนรู้ในลักษณะเช่นนี้ว่า การเรียนรู้เกิดจากการแก้ไขแนวความคิดต่าง ถึงแม้ว่าปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสร้างการเรียนรู้ได้สำเร็จในกิจกรรมกลุ่มขนาดเล็ก
การอภิปรายกับเพื่อนๆ
ในชั้นเรียนทั้งหมดให้โอกาสนักเรียนได้พูดความรู้ของตนออกมาพร้อมกับเรียนรู้จากผู้อื่นด้วย (Giesen, Janet. 2004, Good T.L. and Brophy, J.E. 1994)
แนวคิดเกี่ยวกับ Constructivism หรือ
ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งอธิบายว่าความรู้ถูกทำให้เกิดขึ้นภายในตัวผู้เรียน เปลี่ยนการเน้นการสอนเป็นการเรียนรู้
โดยเน้นการเรียนรู้และการเปลี่ยนเนื้อหา
ให้ตรงกับประสบการณ์การเรียนรู้ของแต่ละบุคคล
แนวคิดนี้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนากระบวนการ ทักษะและทัศนคติของตน
นอกจากนี้ควรจะพิจารณารูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เน้นการสร้างองค์ความรู้
ไม่ใช่การใช้ซ้ำ ให้ผู้เรียนรู้จักคิดแก้ปัญหา
โดยใช้ทั้งความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ ดังนั้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ ได้กล่าวถึง คือ
ธรรมชาติของผู้เรียน บทบาทของผู้สอน ธรรมชาติของกระบวนการเรียนรู้ การเลือกสรร
ขอบข่าย และการจัดลำดับของเนื้อหาสาระ เพียเจต์ได้แนะนำว่าการปรับตัวของบุคคลและการปรับให้เข้ากันของลักษณะสังคมคือกระบวนการที่ทำให้เกิดการสร้างความรู้ขึ้นใหม่ผ่านประสบการณ์ แต่ละบุคคลสร้างความเข้าใจใหม่ของตนเองจากสิ่งที่พวกเขารู้และเชื่อแล้วกับความคิดและความรู้ที่พวกเขาได้พบเจอ
ซึ่งตัวบุคคลจะผสมผสานความรู้ใหม่ให้เข้ากับสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นมีอยู่ก่อนแล้ว
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้
เมื่อประสบการณ์ของแต่ละบุคคลมีความสอดคล้องกับมโนภาพของพวกเขาที่มีต่อโลก
แต่ความรู้ใหม่ๆ จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง
ในทางตรงข้าม
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคลอาจจะตรงกันข้ามกับมโนภาพของพวกเขาที่มีต่อโลก
พวกเขาเหล่านั้นอาจจะเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองประสบพบเจอให้เข้ากับมโนภาพที่พวกเขาคิดไว้
ตามทฤษฎีนั้นการปรับตัวของบุคคลคือกระบวนการสร้างจินตนาการในความคิดของตนขึ้นมา
เกี่ยวกับโลกภายนอกเพื่อที่จะปรับให้เข้ากับประสบ การณ์ใหม่
ส่วนการปรับให้เข้ากันของลักษณะสังคมคือวิธีการที่ความล้มเหลวนำไปสู่การเรียนรู้
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง
เราจะไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
แต่การปรับให้เข้ากันของลักษณะสังคมจากประสบการณ์ใหม่และสร้างความคิดเกี่ยวกับลักษณะของโลกที่เป็นอยู่
เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ล้มเหลวหรือความล้มเหลวของผู้อื่น
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเองกล่าวคือให้ผู้เรียนสร้างความรู้จากประสบการณ์ (Giesen,
Janet. 2004, Richardson, Virginia.
2003, Wikipedia.org)
สิ่งหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ตามทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ คือบทบาทของผู้สอนและบทบาทของผู้เรียน บทบาทของผู้สอน
คือ การปรับใช้หลักสูตรให้เข้ากับผู้เรียน ร่วมมือกับผู้เรียนเพื่อนำไปสู่เป้าหมาย
กำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับผู้เรียน เน้นการลงมือทำ ใช้ประสบการณ์จริง
ค้นหาและให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของผู้เรียน ดูบริบททางสังคมของเนื้อหา
สร้างความเข้าใจใหม่ผ่านวิธีการชี้นำ ชี้แนะ การวัดผลควรจะรวมกับงานที่ให้ทำ
ไม่ใช่แยก
ใช้ข้อผิดพลาดที่พบของผู้เรียนให้ทำความเข้าใจใหม่และเปลี่ยนความคิดใหม่และที่สำคัญช่วยทำให้เกิดการพัฒนาเป้าหมายและการวัดผลของตนเอง
ส่วนบทบาทของผู้เรียน คือ ให้ความร่วมมือในกลุ่ม มีสิทธิ์มีเสียงในกระบวนการเรียนรู้
การเรียนรู้คือประสบการณ์ทางสังคม ได้เรียนรู้ผ่านมุมมองที่แตกต่างกัน (Giesen,
Janet. 2004)
จากทฤษฎี Constructivism หรือ
ทฤษฎีที่ผู้เรียนสร้างความรู้ใหม่ของตนด้วยตนเอง ที่ได้กล่าวถึงความเป็นมา
ความหมาย แนวคิด และหลักการ วิธีการ บทบาทครู และการประเมินนั้น
แนวคิดทางทฤษฎีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สอน
และสามารถเป็นแนวทางสำหรับการออกแบบการสอนที่เน้นตัวผู้เรียน
โดยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้อย่างเต็มที่
และสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้ด้วยตัวเอง
พื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านสังคม
ปัญญาประดิษฐ์ (ARTIFICIAL INTELLIGENCE : AI ) คือ
ความเจริญก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์เป็นไปในทุกด้าน
ทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์การที่มีพัฒนาการเจริญก้าวหน้า
จึงทำให้นักคอมพิวเตอร์ตั้งความหวังที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความฉลาดและสามารถตัดสินใจเพื่อช่วยทำงานของมนุษย์ได้มากขึ้น
โดยเฉพาะวิทยาการด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นวิทยาการที่จะช่วยให้มนุษย์ใช้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาต่างๆ
ที่สำคัญ เช่นการให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ รู้จักการใช้เหตุผล การเรียนรู้
ตลอดจนการสร้างหุ่นยนต์
ความรู้ทางด้านปัญญาประดิษฐ์รวมถึงการสร้างระบบที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถมองเห็น
และจำแนกรูปภาพหรือสิ่งต่างๆ ออกจากกัน ในด้านการฟังเสียงก็รับรู้และแยกแยะเสียง
และจดจำคำพูดและเสียงต่างๆ ได้
การสัมผัสและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจะต้องมีกระบวนการเก็บความรอบรู้ การถ่ายทอด
การแปลเอกสารข้อความจากระบบหนึ่งให้เป็นอีกระบบหนึ่งอย่างอัตโนมัติ
และการนำเอาความรู้มาใช้ประโยชน์
หากให้คอมพิวเตอร์รับรู้ข่าวสารและเหตุการณ์ต่างๆได้
และสามารถนำเอาความรู้ต่างๆ เหล่านั้นมาประมวลผลก็จะมีประโยชน์ได้มาก เช่น
ถ้าให้คอมพิวเตอร์มีข้อมูลเกี่ยวกับคำศัพท์
มีความเข้าใจในเรื่องประโยคและความหมายแล้ว สามารถเข้าใจประโยคที่รับเข้าไป
การประมวลผลภาษาในลักษณะนี้จึงเรียกว่า การประมวลผลภาษาธรรมชาติ
โดยจุดมุ่งหมายที่จะทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการใช้ภาษา เข้าใจภาษา
และนำไปประยุกต์งานด้านต่างๆ เช่น การตรวจสอบตัวสะกดในโปรแกรมประมวลคำ
ตรวจสอบการใช้ประโยคที่กำกวม ตรวจสอบไวยากรณ์ที่อาจผิดพลาด
และหากมีความสามารถดีก็จะนำไปใช้ในเรื่องการแปลภาษาได้
ปัญญาประดิษฐ์จึงเป็นเรื่องที่นักวิจัยได้พยายามดำเนินการและสร้างรากฐานไว้สำหรับอนาคต
มีการคิดค้นหลักการ ทฤษฎี และวิธีการต่างๆ
เพื่อทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานอย่างมีเหตุผล มีการพัฒนาโครงสร้างฐานความรอบรู้ ซึ่งปัญญาประดิษฐ์นั้นเป็นวิชาการที่มีหลักการต่างๆ
มากมาย และมีการนำออกไปใช้บ้างแล้ว เช่น
การแทนความรอบรู้ด้วยโครงสร้างข้อมูลลักษณะพิเศษ การคิดหาเหตุผลเพื่อนำข้อสรุปไปใช้งาน
การค้นหาเปรียบเทียบรูปแบบ
ตลอดจนกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์และมีขั้นตอนอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์สะสมความรู้ได้เอง
จาก songhenghuat.blog.com/.../ปัญญาประดิษฐ์-artificial-intelligence-ai/
ในยุคปัญญาประดิษฐ์ในรูปแบบที่ให้ความสำคัญกับคอมพิวเตอร์
เข้ามามีบทบาททางสังคมอย่างมาก จึงนิยมจัดการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer-Assisted Instruction) ทิศนา แขมมณี (2557 : 151-152) ได้ให้หลักการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไว้ว่า
1. คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาขยายขอบเขตความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน
ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้เร็ว และเรียนรู้ได้ดี
รวมทั้งช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองตามความสามารถของผู้เรียน
2. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อทั้งผู้เรียนและผู้สอน
และสามารถนำไปใช้งานทางการศึกษาด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น งานการบริหาร การสอบ
การประเมินผล เป็นต้น
การสร้างหลักสูตร โดยใช้คอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอน
เป็นการช่วยขยายขอบเขตความ สามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน และความสามารถในการสอนของครู
โดยการสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ขึ้นมา
หรือจัดหาบทเรียนคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมที่มีผู้สร้างไว้แล้วมาให้ผู้เรียน
โดยมีการนำสื่อประสมเข้ามาช่วยในการนำเสนอ เช่น ข้อความ เสียง ภาพนิ่ง
ภาพเคลื่อนไหว โดยผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินการเรียนรู้ตามการนำเสนอของบทเรียน
ซึ่งจะออกแบบไว้ให้ผู้เรียนได้รับผลย้อนกลับ เมื่อเรียนจบ
ผู้เรียนจะได้รับการประเมินและทราบผลการเรียนรู้ของตน
การนำเสนอบทเรียนแบบคอมพิวเตอร์ มีหลายแบบ เช่น แบบทบทวนความรู้ แบบฝึกปฏิบัติ
แบบเกม แบบสถานการณ์จำลอง ซึ่งเน้นให้ผู้เรียนสามารถใช้ข้อมูลที่มีในการตัดสินใจแก้ปัญหา
และรับรู้ผลจากการตัดสินใจนั้นด้วยตนเอง
ในการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจเพื่อประชาคมอาเซียน
สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 เอกภาษาอังกฤษ
มุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสที่จะมีพัฒนาการในการเรียนรู้
หลักสูตรจะถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้น
มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ และรู้จักการร่วมมือกันทำงาน ดังนั้น
การวางแผนสำหรับผู้เรียนทุกคน (Planning for all learners: PAL) จึงเกิดขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนทุกคนมีผลสัมฤทธิ์
ตรงตามหลักสูตรที่ได้วางไว้ (Meo, G. 2008)
วิสัยทัศน์
มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษธุรกิจเพื่อประชาคมอาเซียนและเสริมสร้างให้มีทักษะภาษาอังกฤษในระดับที่สามารถติดต่อสื่อสารได้
พร้อมกับส่งเสริมนักศึกษาให้มีทักษะการเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อผู้เรียนในอนาคต
และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของคนในศตวรรษที่ 21 โดยผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ เรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
คิดวิเคราะห์เป็นและตัดสินใจด้วยตนเอง รู้จักสร้างความร่วมมือ
และสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อผู้อื่น เข้าใจความแตกต่างด้านวัฒนธรรม โดยผู้เรียนได้รับการปลูกฝังจิตสำนึกอันดี ประกอบด้วยการมีคุณธรรม
จริยธรรม ในการเป็นพลเมืองของสังคมและของโลก
นอกจากนี้การพัฒนาหลักสูตรเป็นสิ่งที่นักศึกษาต้องดำเนินการอยู่เสมอและจะกระทำทุกครั้งเมื่อสังคมมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นจะทำให้ผู้เรียนได้เพิ่มพูนประสบการณ์ขึ้นมาใหม่และพร้อมที่จะนำประสบการณ์และความรู้ที่เกิดขึ้นมานั้นไปพัฒนาตนและสังคมให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
Saylor
and Alexander (1966 : 7) ได้สรุปว่า การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
ต้องประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ดังนี้
1. หลักสูตร
1.1 ตัวผู้เรียนเอง
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและสังคมเองมองเห็นนักเรียนคืออะไร
มีส่วนเกี่ยวข้องกับสังคมอย่างไรบ้าง สังคมต้องการอะไรจากนักเรียน
และนักเรียนต้องการอะไรทั้งในแง่ของส่วนบุคคล และสังคม
1.2 หน้าที่และจุดมุ่งหมายของโรงเรียนคืออะไร
โรงเรียนมีแนวคิดยึดปรัชญาสาขาใดและมีแนวปฏิบัติให้บรรลุเป้าหมายนั้นอย่างไร
1.3 ธรรมชาติของความรู้นั้นเป็นอย่างไร ขอบข่ายของความรู้ที่จำเป็นต้องศึกษานั้นมีมากน้อยแค่ไหน
อย่างไร อะไรเป็นสิ่งจำเป็นก่อนและหลังหรือลำดับของความรู้เป็นอย่างไร
1.4 กระบวนการการเรียนรู้เป็นอย่างไร
ลำดับหรือขั้นตอนของการเรียนรู้เป็นอย่างไร
สิ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงถึงการพัฒนาหลักสูตรในขั้นตอนแรกก็คือ
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคม ปรัชญา ผู้เรียน และกระบวนการเรียนรู้
2. บุคคลที่ทำหน้าที่วางแผนพัฒนาหลักสูตร
2.1 นักการศึกษาในทุกระดับ ตั้งแต่อนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา
นักวิชาการ นักวิจัย เป็นต้น
2.2 ผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น นักเรียน
ผู้ปกครอง สมาชิกในชุมชนและสมาคมต่างๆ เป็นต้น
3. ผู้ตัดสินใจเลือกใช้หลักสูตร
ผู้ทำหน้าที่เลือกใช้หลักสูตร คือ นักพัฒนาหลักสูตรซึ่งประกอบด้วยครู
นักศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ผู้ปกครอง ผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ
ประกอบขึ้นเป็นกรรมการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร
โดยทำหน้าที่คัดเลือกและจัดระบบเนื้อหาสาระตลอดทั้งแบบเรียนกำหนดระบบการเรียน
การสอน และการตัดสินใจเลือกนั้นกระทำตามลำดับและขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งบรรพต สุวรรณประเสริฐ (2544: 16)
ได้เสนอรูปแบบการวางแผนหลักสูตรซึ่งต้องมีองค์ประกอบสำคัญได้แก่การกำหนดหลักสูตรนักวางแผนหลักสูตรการตัดสินใจหลักสูตร
และแผนหลักสูตร
การวางแผนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนาหลักสูตรที่จะทำให้หลักสูตรเกิดความสมบูรณ์ ดังนั้น ก่อนที่จะพัฒนาหลักสูตรนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตร
จะต้องกำหนดแผนการพัฒนาหลักสูตรดังนี้
1. การศึกษาปัญหาหรือการกำหนดปัญหาที่เกิดขึ้นในหลักสูตรเดิม
2.การกำหนดข้อมูลเพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาข้อมูลที่กำหนดจะต้องเป็นข้อมูลที่สนองตอบต่อปัญหาที่ได้มาจากการศึกษาปัญหา
3.
การกำหนดสมมติฐานว่าหลักสูตรที่จะต้องได้รับการพัฒนานั้นจะบังเกิดผลต่อผู้เรียนอย่างไร
4.กำหนดแนวทางในการดำเนินงานขั้นตอนในการดำเนินงานจะต้องกำหนดเวลาอย่างแน่นอนเพื่อจะได้เห็นกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ
5.
การคัดเลือกบุคลากรมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการพัฒนาหลักสูตรจะสำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องมีบุคคลากรที่มีคุณภาพในการทำงานบุคลากรที่ควรกำหนดในแผนได้แก่
นักพัฒนาหลักสูตร นักวิชาการศึกษา ศึกษานิเทศก์และครูผู้สอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น