1.ในการจัดการศึกษาของไทยควรนำหลักสูตรประเภทใดมาใช้ด้วยเหตุผลใดเป็นสำคัญ
ตอบ หลักสูตรบูรณาการ เพราะปัจจุบันยังมีการกล่าวขานถึงหลักสูตรบูรณาการกันอยู่ และค่อนข้างบ่อยขึ้น อันเนื่องมาจากการปฏิรูปการศึกษา แต่ก็ยังเป็นไปในลักษณะเดิมๆ คือ การบูรณาการภายในวิชา (intradisciplinary) และบูรณาการระหว่างวิชา (interdisciplinary) ซึ่งมีความหมายเฉพาะการบูรณาการเนื้อหาวิชาเท่านั้น แท้จริงการบูรณาการหลักสูตรทำได้หลายลักษณะ ดังนี้
การบูรณาการวิชา (Integrated
by subjects) เป็นการบูรณาการระดับที่ใหญ่ที่สุด
เพราะมีผลกระทบต่อการจัดโครงสร้างหลักสูตรและการบริหารจัดการวิชาที่มีการบูรณาการกันบ่อยมากคือ
วิชาสังคมศึกษากับวิชาวิทยาศาสตร์
เพราะเป็นวิชาที่เกี่ยวกับชีวิตและนักเรียนสัมผัสพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน
ส่วนการบูรณาการวิชาอื่น ๆ ที่พบได้อีก เช่นวิชาวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หรือ คณิตศาสตร์กับภาษาไทย เป็นต้น การบูรณาการเฉพาะบางช่วงชั้น
หรือตลอดทุกช่วงชั้นก็ได้ แต่ช่วงชั้นที่ทำหลักสูตรบูรณาการมากที่สุด ได้แก่
ระดับอนุบาลและระดับประถมศึกษา ส่วนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และตอนปลาย
มักบูรณาการในระดับกรเรียนการสอน รายวิชามากกว่า
เพราะต้องการให้นักเรียนมีความรู้สึกในวิชานั้นๆ
แต่ก็จะมีการเพิ่มเติมโดยให้นักเรียนทำโครงงานที่บูรณาการหลายวิชาไว้ด้วยกัน
จำนวนวิชาในหลักสูตรบูรณาการ
มักเน้นเฉพาะวิชาหลักที่มีความสำคัญและสัมพันธ์กับชีวิตจริงวิชาหลักที่นำมาจัดเสมอ
คือ วิชาการใช้ภาษา (ซึ่งบางครั้งแยกเป็นวิชาการอ่าน และวิชาการเขียน)
วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคมศึกษา และวิชาคณิตศาสตร์ เมื่อสถานศึกษาประสงค์จะจัดหลักสูตรแบบบูรณาการรายวิชา
ครูที่สอนจะต้องวางแผนร่วมกันกำหนดหัวข้อเรื่อง (Themes) หรือประเด็นคำถามสำคัญ (Essential questions) สร้างกิจกรรมหรือเรื่องราวที่นำชีวิตจริง
สภาพการณ์ที่เป็นจริงมาเป็นตัวตั้งในการทำหน่วยการเรียน
บูรณาการการเรียนการสอน (Integrated
by Learning management)
-
บูรณาการทักษะ (Integrated
by skills) บูรณาการในลักษณะนี้เป็นได้ทั้งภายในวิชาเดียวกันหรือ
-
บูรณาการหลายวิชา
ที่บูรณาการทักษะในวิชาเดียวกัน เช่น บูรณาการทักษะการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน
การสรุป การนำเสนอ ในวิชาภาษาที่บูรณาการทักษะในหลายวิชา เช่น ทักษะการคิด
ทักษะการจัดการ และทักษะการวิจัย (ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต)
เป็นต้น วิชาที่มักบูรณาการด้วยทักษะ จำเป็นต้องมีการวางแผนร่วมกัน
เพราะเกี่ยวข้องกับผู้สอนหลายวิชา ผู้สอนจะต้องมาตกลงกันเกี่ยวกับเนื้อหา
ลำดับความยากง่าย จะแยกสอนเป็นวิชาหรือสอนเป็นทีม
ครูต้องร่วมกันกำหนดคำถามสำคัญที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และทักษะที่ต้องการให้เกิดกับผู้เรียนให้ครบถ้วนและเหมาะสม
อีกทั้งให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะเรียนด้วย การบูรณาการลักษณะนี้ใช้การจัดการเรียนการสอนที่เน้นโครงงาน
(Projects)
ประเด็นปัญหา (Issues) สภาพชุมชน (Community)
อาชีพ (Careers) หรือแม้แต่ศาสนา
การจัดทำหลักสูตรในลักษณะโมดูล (Modules) ก็อยู่ในประเภทนี้
|
-
บูรณาการสื่อเทคโนโลยี
(Integrated
by technology) การจัดหลักสูตรโดยนำสื่อเทคโนโลยีมาบูรณาการนั้นน่าจะทำได้ง่ายและจำเป็นในสภาวการณ์ปัจจุบัน
เพราะทุกวิชาสามารถใช้เทคโนโลยีบูรณาการในการเรียนการสอนได้
แม้แต่วิชาเทคโนโลยีเองก็ใช้เนื้อหาวิชาอื่น เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา
ฯลฯ เป็นสื่อการเรียนรู้ได้ บูรณาการในลักษณะนี้ เรียกว่า เป็นบูรณาการแบบคู่ขนาน
การบูรณาการโดยแหล่งเรียนรู้ก็จัดอยู่ในประเภทนี้
-
การบูรณาการบริหารจัดการ (Integrated
by management) ตัวอย่างของการบูรณาการประเภทนี้ เช่น
การนำนักเรียนมาเรียนรวมกัน (Cross-age integrated curriculum) การให้ผู้สอนสอนร่วมกัน (Team teaching) เป็นต้น
การจัดหลักสูตรอาจแยกเป็นรายวิชาหรือจัดแบบบูรณาการวิชาก็ได้
แต่วิธีที่เหมาะน่าจะเป็นการจัดหลักสูตรแบบโมดูล
สำหรับขอบเขตและการจัดลำดับการเรียนรู้ในหลักสูตรบูรณาการทุกแบบ
เป็นสิ่งปกติที่ครูต้องคำนึงถึงคือ ความยากง่ายตามระดับชั้นและวัย
ความซับซ้อนจากน้อยไปหามาก หรือจากสิ่งใกล้ตัวไปสู่ไกลตัว อย่างไรก็ตาม
ในการจัดทำหลักสูตรบูรณาการ มักจะกระทำสิ่งต่อไปนี้ด้วย คือ
จัดการเรียนการสอนโดยใช้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตเป็นตัวตั้ง จัดเนื้อหาในลักษณะหัวข้อเรื่องหรือโครงงาน หรือบูรณาการโดยเน้นสิ่งที่ต้องการใช้ผู้เรียนเรียนรู้ เช่น ศาสนา เทคโนโลยี เป็นต้น
จัดการเรียนการสอนโดยใช้เนื้อหาที่สัมพันธ์กับชีวิตเป็นตัวตั้ง จัดเนื้อหาในลักษณะหัวข้อเรื่องหรือโครงงาน หรือบูรณาการโดยเน้นสิ่งที่ต้องการใช้ผู้เรียนเรียนรู้ เช่น ศาสนา เทคโนโลยี เป็นต้น
มีการวางแผนร่วมกัน
ไม่ใช่ครูต่างคนต่างทำ มิฉะนั้นจะเกิดความซับซ้อน แม้จะใช้การบูรณาการแบบคู่ขนานคือ
ครูต่างคนต่างสอนโดยนำเนื้อหาของอีกวิชาหนึ่งมาบูรณาการ
แต่ก็ต้องตกลงกันในส่วนของเนื้อหาที่จะนำไปบูรณาการเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน
ไม่ว่าจะบูรณาการด้วยวิธีใดก็มักใช้วิธีการสอนแบบกำหนดหัวข้อเรื่อง
(Themes)
เป็นส่วนใหญ่ เพราะ 1. ผู้เรียนเข้าใจง่ายและเห็นความเกี่ยวข้องกับชีวิตจริง
2. สามารถบูรณาการได้มากว่า 2 รายวิชา
|
ในการจัดการเรียนการสอนย่อมหนีไม่พ้นการประเมินผล
ซึ่งต้องควบคู่ไปด้วยกัน คำถามชวนคิดก็คือ
การประเมินผลการเรียนการสอนแบบบูรณาการล่ะทำอย่างไรได้บ้าง คำตอบคือ
ประเมินผลด้วยวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย
เช่น สังเกตพฤติกรรมแล้วบันทึกผลสังเกต ใช้แบบทดสอบ ให้ตอบคำถามย่อย ๆ
ท้ายบทให้ทำโครงงาน/ชิ้นงาน/สิ่งประดิษฐ์ ให้นำเสนอผลงาน
หรืออภิปรายผลงานของตนหรือของเพื่อน เป็นต้น
ประเมินโดยบูรณาการพฤติกรรมทั้ง 3
ด้าน คือ ด้านความรู้ ทักษะ และเจตคติ ไปพร้อมๆ กัน
จากการใช้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงาน สร้างชิ้นงาน
แล้ววัดความรู้และทักษะจากกการให้สาธิตและแสดงผลงาน
วัดเจตคติจากการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์และสนุกสนาน
ประเมินจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เช่น
ประเมินจากผลงานหลายๆ ชิ้น ประเมินจากการทำงานกลุ่มหลายๆ ครั้ง
ประเมินทักษะการทำงานจากความคล่องแคล่วและความชำนาญ
แผนภาพการบูรณาการหลักสูตร
แผนภาพการบูรณาการหลักสูตร
ประเมินโดยการบูรณาการทักษะที่ต้องการวัด
เช่น บูรณาการความรู้กับทักษะอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างที่สอดคล้องกัน
บูรณาการทักษะกับค่านิยม เป็นต้น
ประเมินจากกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น
ครู นักเรียน(ประเมินตนเอง) เพื่อน ผู้ปกครอง เป็นต้น
จากการวิเคราะห์สังเคราะห์ แผนการสอนหรือหน่วยการเรียนรู้ทั้งหลาย พบว่า
การประเมินผลการเรียนการสอนแบบบูรณาการจะเกิดขึ้นควบคู่กับการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการและประเมินโดยการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง
(Performance Assessments) แล้วประเมินจากชิ้นงาน/ผลงานที่เกิดจากการปฏิบัติพฤติกรรมที่พึงประสงค์ขณะกำลังปฏิบัติ
ความรู้ที่ได้จากการนำเสนอผลงาน ตอบคำถามได้ชัดเจนมีข้อมูลและเหตุผลสนับสนุน
ดังนั้น เครื่องมือการประเมินผลการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่สุด คือ Rubrics
(วิธีการให้คะแนนที่สามารถบูรณาการสิ่งที่ต้องการประเมินได้มากกว่า 2
ลักษณะขึ้นไป)
ตัวอย่างการประเมินโดยใช้ Rubrics
* ครูมอบหมายให้ผู้เรียนทำโครงงานและนำเสนอโดยใช้สื่อผสม (ประเมินภาพรวม) การประเมินต้องเป็นแบบบูรณาการ จึงจะเหมาะสมโดย
- ประเมินความรู้ที่ได้ ทักษะการนำเสนอและเจตคติต่อสิ่งที่เรียนพร้อมๆ กัน (ประเมินจากการนำเสนอผลงาน)
- ประเมินทักษะการทำงานร่วมกัน
ทักษะการอยู่ร่วมกัน ทักษะการคิด ทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการค้นคว้า
(ประเมินจากการปฏิบัติร่วมกัน)
- ประเมินทักษะการใช้ภาษา
กับทักษะการใช้เทคโนโลยี และทักษะการแสวงหาความรู้
(ประเมินจากการรายงานหน้าชั้นเรียน)
- ประเมินจากทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบภาวะผู้นำ-ผู้ตาม
การคาดการณ์และการแก้ปัญหา (ประเมินจากการปฏิบัติงานกลุ่มแต่ละครั้ง)
- ประเมินโดยตัวนักเรียนเอง
ประเมินโดยเพื่อน และประเมินโดยครู
โดยประเมินในประเด็นเดียวกันหรือต่างกันก็ได้
เพื่อดูความสอดคล้องของผลการประเมิน
* การประเมินความสามารถในการพูดต่อหน้าประชุมชน (ประเมินเฉพาะด้าน) สามารถประเมินผลแบบบูรณาการได้โดย
- ประเมินทักษะการใช้ภาษา
ทักษะการพูด (โน้มน้าวดึงดูดใจผู้ฟัง) ทักษะการปรับตัว และบุคลิกภาพ
(ประเมินหลายทักษะในกลุ่มเดียวกัน)
- ประเมินความรู้
(ความถูกต้องในเนื้อหา) การนำเสนอ การใช้เทคโนโลยี
(บูรณาการความรู้และการใช้เทคโนโลยี)
สรุป คือ วิธีการประเมินผลการเรียนการสอนที่ดีที่สุดคือ
การประเมินจากการให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริง (Performance Assessments) และใช้ Rubrics เป็นแนวทางในการให้คะแนน
ซึ่งการกำหนดเกณฑ์การประเมินต้องคำนึงถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
และความสามารถของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น